การประชามติว่าด้วยร่างรัฐธรรมนูญแห่งสหภาพพม่า ถูกจัดขึ้นเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2551 ทั่วสหภาพพม่า ตามประกาศเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 ของสภาสันติภาพและการพัฒนาแห่งรัฐ และวันที่ 24 พฤษภาคม 2551 สำหรับพื้นที่ประสบพิบัติภัยจากพายุหมุนนาร์กิส
คณะทหารได้จัดให้มีการพิมพ์เผยแพร่แก่สาธารณะซึ่งร่างรัฐธรรมนูญแห่งสหภาพพม่า และตามการแถลงของคณะทหาร ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่มีสาระสำคัญเป็นการสนับสนุนระบอบประชาธิปไตยอันเป็นระบบระเบียบ" และจะได้จัดให้มีการเลือกตั้งผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไปใน พ.ศ. 2553 ด้วย
เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2551 คณะทหารได้ตรากฎหมายว่าด้วยการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญ และแต่งตั้งคณะกรรมการควบคุมการออกเสียงประชามติเช่นว่าด้วย โดยกฎหมายดังกล่าวมีสาระสำคัญเป็นการอำนวยความสะดวกในการลงคะแนนลับ และให้ประชาชนสามารถตรวจสอบการนับคะแนนนั้นได้ ทั้งนี้ ไม่มีข้อมูลว่าคะแนนลับที่เอ่ยถึงคืออะไร
อย่างไรก็ดี นานาชาติต่างมองว่าประชาธิปไตยในพม่าดูเลือนรางนักแม้จะได้มีการออกเสียงประชามติครั้งนี้ก็ตาม เพราะร่างรัฐธรรมนูญของพม่ากำหนดให้ที่นั่งหนึ่งในสี่ของสภานิติบัญญัติมีไว้สำหรับข้าราชการทหาร และคณะทหารที่ยึดอำนาจการปกครองก็ยังคงมีอิทธิพลเหนือกระทรวงกลาโหมซึ่งมีอำนาจหน้าที่ในการจัดและควบคุมการประชามตินี้อยู่ อีกประการหนึ่ง ร่างรัฐธรรมนูญพม่ายังตัดสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้งของชาวพม่าที่สมรสกับชนต่างด้าว ซึ่งได้แก่ นางอองซาน ซูจี อีกด้วย
รัฐบาลทหารพม่าได้สั่งให้บรรดาสื่อมวลชนในประเทศดำเนินการประชาสัมพันธ์ให้มีการรับร่างธรรมนูญเท่านั้น โดยในโทรทัศน์ของรัฐทุกช่องจะปรากฏแถบข้อความว่า “เชิญชาวเรารับร่างรัฐธรรมนูญ เพื่อเพิ่มพูนประโยชน์บ้านเมือง” (Let's vote Yes for national interest) กับทั้งมีการเปิดเพลงเชิญชวนให้ออกเสียง “รับ” ผ่านสถานีแพร่ภาพและกระจายเสียงของรัฐทุกประเภทตลอดวัน
สันนิบาตเพื่อประชาธิปไตยแห่งสหภาพพม่า (สปต.) อันเป็นพรรคการเมืองฝ่ายค้านที่มีนางอองซาน ซูจี เป็นหัวหน้า ก็ได้ประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนออกเสียง “ไม่รับ” ร่างรัฐธรรมนูญ อย่างไรก็ดี สปต. แถลงว่า รัฐบาลทหารได้สั่งให้ระงับการประชาสัมพันธ์เช่นนี้ กับทั้งสั่งจับผู้ประชาสัมพันธ์และให้ยึดสื่อประชาสัมพันธ์เสียสิ้น
ถึงแม้ว่าจะบังเกิดภาวะมหันตภัยเพราะพายุหมุนนาร์กิสในพม่าไม่กี่วันก่อนวันออกเสียงประชามติ แต่ในเบื้องแรกรัฐบาลทหารพม่าคงยืนยันว่าจะจัดให้มีการออกเสียงประชามติเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญพม่าตามที่กำหนดไว้ในวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม 2551 ไม่เปลี่ยนแปลง ซึ่งได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาต่อต้านจากทั้งพรรคฝ่ายค้านของนางออกซาน ซูจี และจากนานาชาติ โดยในวันที่ 8 พฤษภาคม ผู้ประท้วงสามสิบคนได้ไปชุมนุมหน้าสถานเอกอัครรัฐทูตพม่าประจำกรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เรียกร้องให้รัฐบาลพม่าเลื่อนการประชามติ และให้รับความช่วยเหลือจากนานาชาติโดยไม่ชักช้า ทั้งนี้ คณะผู้ชุมนุมออกแถลงการณ์ว่า บัดนี้ไม่ใช่เวลาสำหรับการเมือง หากเป็นเวลาแก้ไขเยียวยาสถานการณ์ ซึ่งในวันเดียวกัน รัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกาได้ร้องขอต่อสหประชาชาติมิให้รับรองการประชามติดังกล่าว และนางอองซาน ซูจี ผู้นำพรรคสันนิบาตแห่งสหภาพพม่าเพื่อประชาธิปไตย ออกมาแถลงว่า การจัดให้มีการออกเสียงประชามติท่ามกลางภาวะทุกข์เข็ญเช่นนี้ ถือเป็นเรื่องที่รับไม่ได้อย่างยิ่ง ต่อมาได้มีประกาศเลื่อนการประชามติเฉพาะนครย่างกุ้งและพื้นที่ประสบพิบัติภัยไปเป็นวันที่ 24 พฤษภาคม 2551
อนึ่ง ในวันที่ 9 พฤษภาคม 2551 สำนักข่าวมิซซิมา (Mizzima) แห่งสหภาพพม่าได้จัดให้มีการสำรวจความคิดเห็นของชาวพม่าว่าด้วยการประชามติครั้งนี้ การสำรวจดำเนินการผ่านการสอบถามทางโทรศัพท์และการสัมภาษณ์ซึ่งหน้า สิริจำนวนผู้ตอบการสำรวจสี่ร้อยสิบหกคน เป็นชายสองร้อยสิบแปดคน หญิงหนึ่งร้อยเก้าสิบแปดคน ในจำนวนนี้ประกอบไปด้วยนักเรียน นักศึกษา ครู อาจารย์ ข้าราชการ พนักงานของรัฐ กรรมกร แม่บ้าน และอื่น ๆ ผลดังนี้[ต้องการอ้างอิง]
อ่านบทความฉบับสมบูรณ์ได้ที่ http://th.wikipedia.org/wiki/การประชามติว่าด้วยร่างรัฐธรรมนูญพม่า_พ.ศ._2551